Tuesday, December 22, 2015

DIY : แชมพูเร่งผมร่วงให้งอกและดกดำ

DIY : แชมพูเร่งผมร่วงให้งอกและดกดำ

From blogger : ไม่ได้คิดค้นขึ้นเองมาแต่อย่างใด แต่อ่านเจอแล้วชอบ เลยอยากเก็บไว้อ่านเองและเผยแพร่ต่อไป

ในคนปกติผมร่วงเกินวันละ 100 เส้นถือว่าผิดปกติ  เรามาดูส่วนผสมและวิธีทำกันดีกว่าค่ะ

ส่วนผสม
1. มะกรูด  4 – 5 ผล
2. ดอกอัญชัน  3 กำมือ
3. ขิงสด   3  ถ้วยตวง ขิงเป้นสัดส่วนที่มากที่สุดเนื่องจากขิงช่วยเร่งการงอกของเส้นผม
4. น้ำสะอาด
5. เบคกิ้งโซดา ไว้ผสมตอนใช้

วิธีทำแชมพูเร่งผมให้งอกและดกดำ

1.ล้างมะกรูด ขิง ดอกอัญชัญ ด้วยน้ำสะอาด จนแน่ใจว่าสะอาดดี โดยเฉพาะขิงต้องไม่มีดินติด
2.หั่นมะกรูด หั่นขิง เป็นเเว่นบางๆ
3.นำขิง มะกรูด ดอกอัญชันไปต้มรวมกันโดยใส่น้ำสะอาดให้ท่วมสมุนไพร ไม่ต้องให้สมุนไพรลอย ( เหมือนหุงข้าว ท่วมหลังมือ ) น้ำจะเยอะเกินไม่เข้มข้น
4.ตั้งไฟอ่อนๆ – ไฟกลางๆ ห้ามใช้ไฟแรง เพราะสมุนไฟรจะค่อยๆซึม หากใช้ไฟแรงน้ำจะแห้งเร็ว
5.สังเกตว่าดอกอัญชัญและมะกรูดเปื่อยยุ่ยแล้ว นำขึ้นจากเตา พักไว้ให้เย็น
6. นำไปกรองเอาเฉพาะส่วนน้ำ เก็บใส่ขวดสะสะอาด ปิดผาให้มิดชิด

วิธีทำทำเเชมพูขิง หยุดผมร่วงหลังคลอดเร่งการงอกของเส้นผม

วิธีใช้

1.เเบ่งน้ำยาสระผมจากขวด พอประมาณ สำหรับที่จะสระ ใส่ในภาชนะ และตักผงเบคกิ้งโซดาลงไป 1 ช้อนชา คนๆให้เข้ากัน แล้วสระผมตามปกติ
2. ล้างผมออกให้สะอาด หลายๆคนอาจตกใจขณะที่ผมยังไม่แห้งจะรู้สึกว่าผมกระด้าง เป้นปกติค่ะ รคอให้ผมแห้งแลัวหวีๆดูจะพบว่าผมนิ่มมากๆ แทบจะไม่ต้องไดส์เลยทีเดียว

ที่มา : http://www.mamaexpert.com/topic/15177

Wednesday, March 16, 2011

การดูแลฟันในผู้สูงอายุ


เมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพในช่องปากแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ แต่เมื่ออายุย่างเข้าสู่ภาวะสูงวัย คุณก็อาจจะเจอปัญหาภายในช่องปากบางประการได้ การใส่ฟันปลอม การกินยาบางประเภท และปัญหาสุขภาพโดยทั่วๆไป เป็นปัญหาที่พบในผู้สูงอายุส่วนใหญ่ แต่ถือเป็นโชคดีที่ทันตแพทย์ และแพทย์ของคุณสามารถช่วยให้คุณผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้อย่างง่ายดาย
  • การเกิดฟันผุที่บริเวณพื้นผิวของรากฟัน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ดังนั้นการแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ การใช้ไหมขัดฟัน และการหมั่นตรวจเช็คสุขภาพฟันเป็นประจำ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
  • อาการเสียวฟันมีโอกาสเกิดได้มากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เหงือกของคุณจะค่อยๆ ร่นไปตามธรรมชาติ ทำให้ส่วนของฟันที่ไม่ได้มีสารเคลือบป้องกันโผล่ออกมามากขึ้น บริเวณเหล่านี้เป็นบริเวณที่มีโอกาสเกิดอาการเจ็บปวดได้ง่าย เนื่องมาจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้อน หรือเย็น ในกรณีที่เป็นรุนแรง อาการเสียวฟันก็สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อฟันสัมผัสอาการที่เย็น หรือบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่เปรี้ยวหรือหวาน หากคุณเริ่มเกิดอาการเสียวฟัน คุณควรหันมาใช้ยาสีฟันที่ช่วยป้องกันอาการเสียวฟัน หากอาการยังไม่ลดลง ควรปรึกษาทันตแพทย์ เพราะอาการเสียวฟันอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาที่รุนแรงที่อาจตามมาได้ เช่น การเกิดการผุกร่อน รอยแยก หรือรอยร้าวของฟัน
  • อาการปากแห้ง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุซึ่งการเกิดอาจมีสาเหตุมาจากการกินยา หรืออาการป่วยบางอย่าง อาการปากและคอแห้งสามารถทำลายสุขภาพฟันของคุณได้หากปล่อยไว้ โดยไม่ได้รับการรักษา ทันตแพทย์มีวิธีการรักษากักเก็บความชุ่มชื่นภายในปากได้หลายวิธี รวมถึงการรักษา และการจ่ายยาที่เหมาะสม เพื่อช่วยป้องกันปัญหาอื่นที่จะตามมาได้
  • ปัญหาสุขภาพที่เป็นอยู่ เช่นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือ โรคมะเร็ง สามารถส่งผลกระทบต่อบสุภาพช่องปากได้ คุณควรที่จะแจ้งรายละเอียดเรื่องสุขภาพของคุณให้ทันตแพทย์ได้รู้อย่าง ละเอียด เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้เข้าใจถึงสถานภาพทั้งหมดอย่างชัดเจน และสามารถช่วยรักษาได้อย่างถูกต้อง
  • การใส่ฟันปลอมช่วยทำให้ผู้สูงอายุสะดวกมากขึ้น แต่ฟันปลอมเหล่านี้ก็ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ คุณควรทำตามคำแนะนำของทันตพย์อย่างเคร่งครัด และควรไปปรึกษาทันตแพทย์เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น การตรวจฟันปลอมเป็นประจำทุกปีจัดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ใส่ฟันปลอม
  • โรคเหงือกเป็นปัญหารุนแรงที่สามารถพบได้ในคนทุกวัย แต่โรคนี้มักจะพบมากในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ปัจจัยต่างๆที่สามารถทำให้โรคเหงือกมีอาการรุนแรงขึ้นมีดังต่อไปนี้
    • อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
    • ช่องปากที่ขาดความสะอาด
    • โรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง
    • ปัจจัยแวดล้อมต่างๆเช่น ความเครียด และการสูบบุหรี่
    • การรักษาที่ต้องกินยาที่มีอิทธิพลต่อสภาพเหงือก
ในช่วงแรกที่เริ่มเป็นโรคเหงือกนั้น ยังสามารถที่จะรักษาให้เหงือกกลับมาเป็นปกติได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องสังเกตุความผิดปกติของเหงือกให้เร็วที่ สุด การหมั่นตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำจะช่วยให้เห็นความผิดปกติของเหงือกได้เร็ว และสามารถทำการรักษาได้ทันท่วงที แต่สิ่งที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหงือกก็คือ การดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากที่ถูกวิธี
การครอบและใส่ฟันปลอมเป็นการรักษาที่ทำขึ้นเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แกฟัน ที่ถูกทำลาย หรือทำขึ้นเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป การครอบฟัน คือการทำฟันปลอมมาครอบซี่ที่เสียหายหรือ เพื่อปรับปรุงรูปทรงของฟัน ส่วนการใส่ฟันปลอมนั้น คือการทำฟันซี่ใหม่ขึ้นมาทดแทนซี่ที่สูญเสียหรือสูญหายไป

ที่มา : http://www.colgate.co.th/app/Colgate/TH/TH/OC/Information/OralHealthAtAnyAge/Seniors/Seniors/OralHealthforSeniors.cvsp

การดูแลฟัน

กุญแจสำคัญสู่การมีรอยยิ้มที่สดใสและแข็งแรงตลอดช่วงอายุของการเป็น ผู้ใหญ่ คือการรักษาสุขอนามัยของปากและฟันอย่างเหมาะสม แม้จะเป็นผู้ใหญ่ก็มาสามารถเกิดฟันผุและโรคเหงือกได้เช่นกัน ซึ่งสามารถนำไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงกว่าตามมา ตลอดช่วงอายุของเรา สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือ
  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์เพื่อที่จะกำจัดคราบแบคทีเรีย หรือแผ่นฟิล์มเหนียวที่เกาะอยู่บนฟันของเราและทำให้เกิดฟันผุ  
  • ใช้ไหมขัดฟันทุกวันเพื่อกำจัดคราบแบคทีเรียระหว่างซอกฟัน และร่องเหงือก ก่อนที่มันจะจับตัวแข็งเป็นหินปูน เพราะเมื่อเกิดเป็นหินปูนแล้ว จะต้องอาศัยทันตแพทย์เท่านั้นที่จะเอาออกได้   
  • จำกัดการรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะอาหารที่มีความเหนียว ยิ่งรับประทานบ่อยมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดโอกาสที่จะกรดในคราบแบคทีเรียจะเข้ามาทำลายฟันเท่านั้น
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อทำการตรวจและทำความสะอาดช่องปาก

ในฐานะผู้ใหญ่ ปัญหาเกี่ยวเหงือกและฟันใดที่เราควรจะระวัง
แม้ว่าคุณจะแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ คุณอาจจะพบกับปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟันได้ แต่โชคดีที่ทันตแพทย์สามารถช่วยคุณในการรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้
  • โรคเหงือกเริ่มต้นมาจากอาการเหงือกอักเสบ ซึ่งถ้ารักษาแต่เริ่มแรกก็จะหายขาดได้ อาการของเหงือกอักเสบคือ การบวม แดง และเหงือกนุ่ม เกิดเลือดออกเวลาแปรงฟัน ถ้าคุณพบอาการเหล่านี้ ให้พบทันตแพทย์ก่อนที่อาการจะลุกลามร้ายแรงขึ้น ระยะสุดท้ายของโรคเหงือกอาจนำไปสู่การต้องสูญเสียฟัน
    สุขภาพของเหงือกมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างโรคปริทนต์ (โรคเหงือกชนิดหนึ่ง) กับโรคภัยอื่นๆ อาทิ เบาหวาน หัวใจ และการคลอดก่อนกำหนด การป้องกันโรคเหงือกก่อนที่จะเริ่มสามารถทำได้โดยการแปรงฟันทุกวันวันละ 2 ครั้ง การใช้ไหมขัดฟัน และพบทันตแพทย์เพื่อทำความสะอาดฟันทุก 6 เดือน   
  • ฟันผุรอบๆ บริเวณที่อุดฟัน (ฟันผุซ้ำซ้อน) และการผุที่ผิวของรากฟัน เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยเมื่อเราอายุมากขึ้น ดังนั้นการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ การใช้ไหมขัดฟัน และพบทันตแพทย์เป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ    
  • อาการเสียวฟันเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น เหงือกของเราจะเริ่มร่นตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้บริเวณที่ไม่มีสารเคลือบฟันถูกเปิดออก ซึ่งบริเวณเหล่านี้จะเกิดอาการปวดเมื่อสัมผัสกับอาหารหรือเครื่องดื่มที่ ร้อนหรือเย็น ในรายที่เป็นมาก อากาศเย็นหรืออาหารที่เปรี้ยวหรือหวานก็สามารถทำให้เกิดการเสียวฟันได้ ถ้าคุณมีอาการเสียวฟัน ควรใช้ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน และถ้ายังไม่หาย ควรพบทันตแพทย์ เพราะอาการเสียวฟันอาจเป็นสัญญาณของอาการร้ายแรงอื่นๆ ได้ เช่นฟันผุ หรือ ฟันหัก/แตก    
  • การครอบฟันใช้เพื่อช่วยให้ฟันที่ถูกทำลายแข็งแรงขึ้น แต่นอกจากนี้ การครอบฟันยังช่วยจัดแต่งรูปทรงและการเรียงตัวของฟันให้ดูดีได้ด้วย การทำฟันเทียมและสะพานฟันก็สามารถช่วยชดเชยฟันที่เสียไปได้ การทำฟันเทียมจะทำเพื่อชดเชยฟันที่หายไป และใช้เพื่อยึดฟันปลอมทั้งหมดหรือบางส่วนด้วย ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อดูว่าฟันเทียมเหมาะกับคุณหรือไม่ การทำสะพานฟันมักจะใช้เพื่อชดเชยฟันที่หายไปโดยการเชื่อมพื้นที่ฟันที่หายไป โดยจะเป็นซีเมนต์ที่มีสีเหมือนฟันธรรมชาติ    

เราจะทำให้ฟันของเราดูขาวขึ้นได้อย่างไร
การทำความสะอาดอย่างทั่วถึงโดยทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดคราบภายนอก ที่เกิดจากอาหารและบุหรี่ การใช้ยาสีฟันที่ช่วยฟอกฟันขาวก็สามารถช่วยกำจัดคราบสะสมบนผิวฟันในช่วง ระหว่างการพบทันตแพทย์ครั้งต่อไปได้เช่นกัน ถ้าคราบเหล่านั้นอยู่มานานเป็นเวลาหลายปี คุณอาจต้องทำการฟอกฟันขาวโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อกำจัดคราบภายนอกที่ติดทน  

คราบภายในสามารถฟอก หรือการครอบฟันได้ แม้ว่าแต่ละวิธีจะปลอดภัยของใช้ได้ผล ทันตแพทย์จะเป็นผู้แนะนำว่าวิธีใดจึงจะเหมาะกับคุณและสภาพฟันของคุณ ตลอดจนผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

อาหารที่รับประทานเข้าไปส่งผลกระทบใดบ้างต่อสุขภาพปากและฟันของเรา
นอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพโดยรวมของเราแล้ว โภชนาการที่เหมาะสมมีความจำเป็นต่อเหงือกและฟันที่แข็งแรงของเราด้วย การรับประทานอย่างสมดุลย์จะทำให้เนื้อเยื่อเหงือกและฟันของเราได้รับสาร อาหารและแร่ธาตุบำรุงที่สำคัญในการเสริมสร้างให้แข็งแรงและมีความต้านทานต่อ การติดเชื้ออันนำไปสู่โรคเหงือก นอกจากนี้ ผักผลไม้ที่มีความแข็งและเส้นใยก็จะช่วยทำความสะอาดฟันและเนื้อเยื่อด้วย แต่อาหารที่มีความนุ่มและเหนียวมีโอกาสที่จะติดอยู่ตามซอกฟันและทำให้เกิด คราบแบคทีเรียได้ง่าย 

ทุกครั้งที่คุณรับประมานอาหารและเครื่องดื่มที่มีแป้งและน้ำตาล แบคทีเรียจะทำให้เกิดกรดที่ทำลายฟันได้เป็นระยะเวลา 20 นาทีหรือนานกว่านั้น เพื่อที่จะลดความเสียหายต่อเคลือบฟัน ควรจำกัดความถี่ในการรับประทานอาหารว่างระหว่างมื้อ และควรจะเลือกรับประทานอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น เนยแข็ง ผักสด โยเกิร์ต หรือผลไม้


ที่มา : http://www.colgate.co.th/app/Colgate/TH/TH/OC/Information/OralHealthAtAnyAge/Adults/Adults/HowdoICareformyTeethasanAdult.cvsp

สุขภาพปากและฟัน ที่ผู้หญิงควรรู้

สุขภาพปากและฟันของเราต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างตลอดระยะเวลาของชีวิต

ผู้หญิงต้องการการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นพิเศษในบางช่วงเวลาของชีวิต การเปลี่ยนแปลงในระดับฮอร์โมนในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ช่วงมีประจำเดือน ช่วงตั้งครรภ์ และช่วงหมดประจำเดือนจะส่งผลอย่างมากต่อการที่เหงือกมีปฏิกิริยาต่อ แบคทีเรีย ดังนั้นในช่วงเวลาเหล่านี้ ผู้หญิงจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวันเพื่อ ป้องกันโรคเหงือก 


ข้อมูลสำคัญที่ควรรู้:
  • ช่วงมีประจำเดือน — ผู้หญิงบางคนอาจพบว่าเหงือกมีอาการบวมและมีเลือดออกก่อนมีประจำเดือน ในขณะที่บางคนอาจมีอาการปากแห้งแตก หรือมีแผลร้อนใน อาการเหล่านี้มักจะหายไปเมื่อประจำเดือนมา
  • ยาคุมกำเนิด  -- เหงือกบวมแดงเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากยาคุมกำเนิด  
  • การตั้งครรภ์ — งานวิจัยพบว่า หญิงมีครรภ์หลายคนมีอาการเหงือกอักเสบระหว่างตั้งครรภ์จากการที่คราบ แบคทีเรียสะสมที่ฟันและระคายเคืองที่เหงือก อาการที่พบคือ เหงือกบวมแดงและมีเลือดออก การดูแลก่อนการคลอดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก 
  • ช่วงหมดประจำเดือน — อาการทางปากและฟันที่พบในช่วงนี้คือ เหงือกบวมแดง อาการเจ็บและไม่สบายในช่องปาก ปากร้อน การรับรู้ผิดปกติ และปากแห้ง
  • กระดูกพรุน — หลายงานวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างโรคกระดูกพรุนและการสูญเสียกระดูกในขา กรรไกร นักวิจัยชี้ว่า นี่อาจเป็นสาเหตุของการสูญเสียฟัน เนื่องจากความหนาแน่นของกระดูกที่รองรับฟันลดลง และเมื่อรวมกับโรคเหงือก อาการกระดูกพรุนจึงเป็นตัวเร่งให้เกิดการเสียกระดูกบริเวณฟัน

    1National Women's Health Resource Center, February, 2000.
    2The American Academy of Periodontology, June 5, 2000.
    3The American Academy of Periodontology, January 17, 2001.
    4The American Academy of Periodontology, May 15, 2000.

ที่มา : http://www.colgate.co.th/app/Colgate/TH/TH/OC/Information/OralHealthAtAnyAge/Adults/WomensHealth/WomensOralHealthandOverallHealth.cvsp

Sunday, March 13, 2011

คนมีความรู้ถูกหลอก - ทันโลกทันธรรม

คนมีความรู้ถูกหลอก

         การมีความรู้สูง ไม่ได้เป็น หลักประกันว่าคนเราจะไม่ถูกหลอกและการมีความรู้น้อย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ เพราะการตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อของคนเรา มาจาก 2 แนวทางอย่างแรกก็คือ ตัดสินด้วยหลักตรรกะ คือใช้เหตุผล อีกอย่างหนึ่งคือ ตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่สามารถเห็นหรือสัมผัสได้

         คนมีความรู้มีการศึกษาดี มักมีแนวโน้มที่จะตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้หลักตรรกะในการไตรตรองมากกว่าคนที่มีความรู้น้อย แต่การใช้หลักเหตุผลนั้นจะต้องอาศัยข้อมูลที่มากพอ เพราะถ้าข้อมูลบกพร่องไม่รอบด้าน แม้จะไตร่ตรองอย่างดีเพียงใด ก็ยากที่จะตัดสินใจได้ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริงก็ทำให้ตัดสินใจ ผิดพลาดได้

         ผู้ที่ต้องการชี้นำสังคม จึงใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้ผู้คนคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย เพียงอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการชี้นำให้เหตุผล แต่เป็นเหตุผลเพียงบางมุมบางด้าน เมื่อคนฟังคิดตาม ตรองตาม ก็จะถูกชักจูงไป ตามการชี้นำนั้น

         ดังเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เมื่อโลกเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นมามากมาย นายทุนต่างพากันรํ่ารวยในขณะที่คนงานมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นเพราะถูกกด ค่าแรง ในช่วงเวลานั้น คาร์ล มาร์กซ์ ได้คิดระบอบคอมมิวนิสต์ขึ้นมา โดยเชื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งชนชั้นกรรมาชีพต้องทนไม่ได้ ลุกฮือขึ้นปฏิวัติ ยึดโรงงานจากนายทุน มาแบ่งปันให้คนงานทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน มีกำไรเท่าไรก็แบ่งกัน ทุกคนมีรายได้เสมอภาคเท่ากัน เป็นสังคมในอุดมคติ ไม่มีนายทุนเข้ามากดขี่ขูดรีด

         มีผู้คนมากมายเชื่อในหลักการนี้ตามคาร์ลมาร์กซ์ โดยเฉพาะกลุ่ม “ปัญญาชน” จนสามารถปฏิวัติรัสเซียให้กลายเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เป็น ประเทศแรก จากนั้นก็แพร่ขยายไปยังจีน คิวบา เกาหลี เวียดนาม และประเทศต่าง ๆ มากมายถึงครึ่งค่อนโลก กว่าจะพิสูจน์พบความจริงว่า ระบอบคอมมิวนิสต์ไม่สามารถนำความอยู่ดีกินดีมาสู่ผู้คนได้นั้น ใช้เวลาถึง 70 กว่าปี

         ณ เวลานี้ คงไม่มีใครเชื่ออีกแล้วว่า การปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์จะสามารถเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจได้ จริง แม้ยังมีบางประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ อยู่ เช่น จีน เวียดนาม แต่ต่างก็หันมาพัฒนาเศรษฐกิจด้วยระบบการตลาดทั้งสิ้น เพียงแต่ด้านการเมือง ยังไม่เปิดกว้าง ยังให้พรรคคอมมิวนิสต์ผูกขาดในการปกครองประเทศเท่านั้น แต่การพัฒนาเศรษฐกิจต้องใช้การตลาดจึงจะก้าวหน้า
อะไรคือความบกพร่องของแนวคิดคอมมิวนิสต์
         สิ่งสำคัญที่ถูกมองข้ามไปก็คือ เรื่องของ แรงจูงใจ เมื่อทุกคนถูกกำหนดให้ได้รับสิ่งต่าง ๆ เท่ากันหมด ย่อมขาดแรงจูงใจในการทำงาน ยากที่ใครจะนึกถึงการสร้างความสำเร็จในชีวิต เพราะไม่ว่าจะขยัน หรือขี้เกียจ ก็ได้รับผลตอบแทนเท่าเดิม ผู้คนจึงเฉื่อยชา ขาดความพากเพียรพยายามผลผลิตโดยรวมของประเทศตกตํ่าลง ส่งผลกระทบต่อทุกระบบ ดังที่เราได้เห็นแล้วถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

         ส่วนจีนคอมมิวนิสต์เติ้งเสี่ยวผิง ได้เข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ โดยเริ่มจากแนวคิดที่ว่า แมวสีอะไรก็ได้ขอให้จับหนูได้ก็เป็นอันว่าใช้ได้ เอาระบบเศรษฐกิจการตลาดเข้ามาใช้ โดยทั่วไประบบการตลาดนั้นถูกมองว่าเป็นเรื่องของทุนนิยม แต่เติ้งเสี่ยวผิงเห็นว่าคอมมิวนิสต์ก็มีสิทธิ์ใช้การตลาดได้ เช่นเดียวกันกับที่เศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางซึ่งประเทศคอมมิวนิสต์นิยม ใช้ ประเทศทุนนิยมก็มีการนำไปใช้ในรูปของ รัฐวิสาหกิจ

         ระบบเศรษฐกิจการตลาดที่เติ้งเสี่ยวผิงนำมาใช้นั้น ได้เริ่มต้นด้วยการให้ครอบครัวเกษตรกรมีที่ดินส่วนตัวผืนเล็ก ๆ เพื่อทำการเพาะปลูก ผลผลิตที่ได้ สามารถนำไปขายเป็นสมบัติส่วนตัวได้ ไม่ต้องกลายเป็นสมบัติส่วนกลางแบบคอมมูน ปรากฏว่าผ่านไปเพียงไม่กี่ปี ที่ดินแปลงเล็ก ๆ ของแต่ละคนแต่ละครอบครัวกลับ ให้ผลผลิตมหาศาลจนแทบจะเลี้ยงคนทั้งประเทศได้ เพราะทุกคนทุ่ม เททำงานเต็มที่ด้วยความรู้สึกว่าตนได้รับผลตอบแทนที่ยุติธรรม ขยันมากก็ได้มาก นี่คือ แรงจูงใจ

         โดยผิวเผิน ระบอบคอมมิวนิสต์ให้ภาพที่ดีมาก ในด้านความเท่าเทียมกันของ ประชาชนคนส่วนใหญ่ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าทำให้ประชาชนทุกคนจนเท่ากันหมด จริงอยู่ชนชั้นนายทุนหายไป แต่กลับเกิดอภิสิทธิ์ชนคือชนชั้นปกครองขึ้น ในขณะที่ประชาชนทั่วไปมีชีวิตที่ขาดแคลน ต้องคอยรอรับส่วนแบ่งเท่าที่ได้รับการจัดสรรให้ ชีวิตจึงขาดแรงจูงใจ ขาดพลังที่จะสร้างผลงาน


         เริ่มต้นนั้น กลุ่มคนที่หลงเชื่อระบอบคอมมิวนิสต์มากที่สุดคือ คนมีความรู้เพราะหลักการของคอมมิวนิสต์ นั้นดูดีมีเหตุผล หากแต่เป็นเหตุผลที่ไม่รอบด้าน การชักจูงกันโดยใช้หลักเหตุผลลักษณะนี้ได้แพร่ต่อ ๆ ไป จนนำไปสู่การปฏิวัติที่ส่งผลกระทบอย่างยาวนานต่อชีวิตคนนับพันล้านชีวิต

คนมีความรู้ถูกหลอก

         การโฆษณาชวนเชื่อจึงเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง หากถูกใช้เป็นเครื่องมือในการชี้นำสังคม ปลุกระดมประชาชนให้เห็นคล้อยตามเหตุผลต่างๆที่ยกมาชักจูง สิ่งเหล่านี้ย่อมนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวกในสังคม ความแตกแยกที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวฉุดรั้งให้ประเทศถอยหลังไม่ว่าประเทศนั้นจะ มีศักยภาพเพียงใดก็ตาม

         เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขอยกตัวอย่างประเทศจีนซึ่งมีความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากตลอด 30 ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้ย่อมบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของรัฐบาลจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจีนจะไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ เลยในการบริหารประเทศ ลองนึกภาพว่า ถ้ามีนักโฆษณาชวนเชื่อ คอยชี้นำประชาชนให้เห็นแต่ข้อบกพร่องในการบริหารประเทศ โดยยกเหตุผลตอกยํ้าซํ้าแล้วซํ้าเล่า เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ในที่สุดประชาชนจีนย่อมจะสูญเสียความเชื่อมั่นเกิดความระสํ่าระสายในสังคม เศรษฐกิจที่กำลังรุดหน้าย่อมตกตํ่าได้ทันที

         ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีข้อบกพร่อง ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อมดังนั้นในการที่เราจะตัดสินสิ่งใด เราต้องพิจารณาด้วยว่าประเด็นใดบ้างที่ควรใช้ในการตัดสิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราต้องวางใจเป็นกลาง เพื่อมองให้เห็นภาพโดยรวม ไม่เพ่งเล็งแต่เพียงบางมุมบางด้าน มิเช่นนั้นเราก็จะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนมีความรู้ แต่กลับถูกหลอกโดยไม่รู้ตัว

         ความรู้ความเข้าใจในการใช้หลักตรรกะ จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตของคนเรา นับตั้งแต่เรื่องในครอบครัว เราต้องไม่ลืมว่าทุกคนล้วนมีข้อบกพร่องทั้งสิ้น เมื่อมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น ขออย่าเพิ่งด่วนตัดสินใคร เพราะนั่นอาจเป็นการใช้เหตุผลที่ขาดการมองภาพรวม รอยตำหนิเพียงเล็กน้อย หากใช้แว่นขยายมาส่อง ย่อมมองเห็นแต่ความไม่งาม ในขณะที่ ถ้าเราถอยออกมามองในมุมกว้าง มองคนรอบข้างด้วยความเข้าใจ เราก็จะสามารถประคับประคอง ให้ทุกคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง

         มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราก็เช่นกัน เราต้องมีสติในการรับข้อมูล เพราะกระบวนการโฆษณาในโลกทุกวันนี้ มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง จนแทบจะกล่าวได้ว่าหากต้องการให้ผู้คนชอบสิ่งใด เห็นดีเห็นงามหรือเห็นความจำเป็นในสิ่งใดก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น ด้วยกระบวนการตอกยํ้าชี้นำให้คนคิดตามนั่นเอง

         ทำนองเดียวกัน ในเรื่องของการเมืองการปกครอง การที่เราจะใช้สิทธิ์สนับสนุนหรือคัดค้านใครนั้น ขอให้เราใช้หลักเหตุผลที่มาจากการมองภาพรวม มองทั้งในส่วนของแนวคิด การบริหาร และผลงานที่เกิดขึ้นจริง มองให้เห็นทั้งข้อดี ข้อเสีย อีกทั้งสิ่งไหนสำคัญ สิ่งไหนไม่สำคัญ เหมือนการที่เรามองต้นไม้แบบมองให้เห็นทั้งต้น มิใช่มองแค่ดอกผล หรือกิ่งใดกิ่งหนึ่งของมัน เมื่อเราพิจารณาอย่างมีหลักการเช่นนี้ ผู้มีวาทศิลป์ดีแค่ไหน ก็ไม่อาจชักจูงหลอกลวงเราได้

         แม้แต่ในเรื่องการเข้าวัดทำบุญ ก็ยังต้องอาศัยมุมมองที่ถูกต้องคนเข้าวัดก็คงเคยได้ยินคำพูดทำนองว่า วัดนั้นดี วัดนี้ไม่ดี วัดนั้นสอนดี วัดนี้สอนไม่ดี การพิจารณาเรื่องนี้ เราต้องรู้ก่อนว่าหน้าที่หลักของวัด คืออบรมสั่งสอนคนให้เป็นคนดี เพราะฉะนั้นจะดูว่าวัดดีหรือไม่ดีก็ให้ ดูว่าวัดนั้นสามารถสอนผู้คนให้เป็นคนดีมีศีลธรรมหรือไม่ บอกว่าวัดดี แต่ไม่สามารถสอนผู้คนให้เป็นคนดีได้ อย่างนี้ก็พิกลอยู่ หรือถ้าบอกว่า วัดนี้สอนไม่ดี แต่คนเข้าวัดนี้กลับเป็นคนดีมีศีลมีธรรมทั้งนั้น ก็ต้องเอะใจแล้วว่า คนที่พูดเช่นนั้น อาจเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ ที่ใช้เหตุผลแค่บางส่วนมาชักจูงให้คนคล้อยตามไปในทางที่ไม่ถูกต้อง การตัดสินเรื่องนี้จึงต้องมองภารกิจหลักของบุคคลผู้นั้น องค์กรนั้น ว่ามีหน้าที่อะไร แล้วเขาสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายได้หรือไม่ มีข้อดีอย่างไร ข้อเสียอย่างไร มีข้อบกพร่องอะไรบ้าง และมีผลต่อองค์รวมแค่ไหน หากใช้เหตุผลรอบด้านด้วยความรอบคอบ เราก็จะไม่ถูกหลอกง่าย ๆ

         คราวนี้มาดูมุมมองของผูมี้ความรู้น้อยดูบ้าง แน่นอนว่าถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาการ คนมีความรู้น้อยย่อมทำความเข้าใจได้ยากกว่าคนที่มีความรู้มากเป็นธรรมดา แต่ในบางแง่มุม คนที่มีความรู้น้อยกลับถูกหลอกได้ยากกว่า ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะว่าคนมีความรู้มากมักจะตัดสินสิ่งต่าง ๆ โดยใช้หลักตรรกะ คือเรื่องเหตุผล เมื่อมีโอกาสได้รับฟังข้อมูลที่ดูมีสาระจากคนที่เป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการคัดสรรข้อมูลอยู่แล้ว ย่อมเกิดความสนใจใคร่รู้ เมื่อตรองตามไปเรื่อย ๆ ความคิดก็จะเป็นไปในทิศทางของการโฆษณาชวนเชื่อนั้น
         ขณะที่คนความรู้น้อย มักจะตัดสินเรื่องต่าง ๆ โดยสังเกตจากสิ่งที่ใกล้ตัวเขา มีผลต่อตัวเขา เป็นรูปธรรมจับต้องได้ โดยสรุปคือ ตัดสินด้วยความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ใช่ด้วยตรรกะ ดังนั้นการโฆษณาชวนเชื่อจึงใช้ไม่ได้ผล ถ้าหากสิ่งที่เขาเห็นด้วยตาไม่ตรงกับการโฆษณาเหล่านั้น ไม่ว่าเหตุผลข้อมูลที่นำมาอ้างอิงจะดูสมเหตุสมผลเพียงใด ก็ไม่สามารถสร้างความเชื่อได้ ตรงกันข้าม หากต้องการความเชื่อถือจากกลุ่มคนผู้มีความรู้น้อย ต้องสร้างด้วยผลงานให้ปรากฏเป็นจริงให้เขาจับต้องได้ในชีวิตจริง เช่น มีข้าวในหม้อ มีเงินในกระเป๋า มีหยูกยา ยามป่วยไข้ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ การใช้วิธีชี้นำด้วยข้อมูล ด้วยหลักตรรกะจึงยากที่จะหลอกคนมีความรู้น้อยได้

         เราคงเห็นแล้วว่าสังคมไทยได้เกิดเหตุการณ์ที่ความคิดของผู้คนแยกออกเป็น 2 ฝ่าย เราจะมีหนทางกลับมาเชื่อมโยงกันได้อย่ชางไร

         คำตอบในเรื่องนี้มีเพียงอย่างเดียว คือ ทุกภาคส่วนของสังคม ทั้งกลุ่มที่มีความรู้มากและกลุ่มที่มีความรู้น้อย คือเรียกว่าทั้ง ปัญญาชน และรากหญ้า จะต้องมาพบกัน ณ จุดสมานฉันท์ คือ จุดแห่งความเป็นจริง โดยเราจะต้องก้าวข้ามพ้นการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อจะได้มองเห็นความจริง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการมองภาพรวม เริ่มต้นด้วยการศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนให้เห็นภาพรวมเสมอ ธรรมะแต่ละเรื่อง ล้วนให้ภาพรวมที่ครบถ้วนบริบูรณ์ การหมั่นศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาและปฏิบัติสมาธิอย่างสมํ่าเสมอ คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ชีวิตเราไม่ถูกหลอกลวงอีกต่อไป


ที่มา : หนังสือทันโลกทันธรรม โดย พระมหาดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ

ยุคพระศรีอริยเมตไตรย์

ยุคพระศรีอริยเมตไตรย์

1.เด็กน้อยจะมีสติปัญญาคล้ายผู้ใหญ่ ไม่สร้างปัญหาความเดือดร้อนให้ใครใคร
2.ผู้ใหญ่จะมีใจใสไร้เดียงสา ไม่มีวัยแก่ชรา
3.เมื่อถึงคราวหมดอายุขัย ร่างกายจะหายไปในทันที
4.ทุกคนในโลกจิตผ่องใสด้วยศีลธรรม จะมีอริยธรรมที่ยิ่งใหญ่ เจริญทั้งกายและใจ มีความรู้เรื่องราวภายในของตัวเอง
5.สัตว์จะพูดภาษามนุษย์ได้
6.ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่มีตำรวจทหาร
7.บ้านเรือนจะสวยงามตระการ
8.พืชพันธุ์ธัญญาหารจะมีรสโอชา
9.ร่างกายจะสวยงามสง่าคล้ายชาวสวรรค์
10.จะร่ำรวยสวยฉลาดใกล้เคียงกัน
11.ไม่มีการแบ่งชนชั้น มีความเป็นธรรมในสังคม
12.ประชาคมทั้งโลกจะมีภาษา วัฒนธรรมเป็นหนึ่งเดียว
13.รักมั่นกลมเกลียว เป็นครอบครัวสมานฉันท์ ดุจเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
14.อุดมสมบูรณ์ชุ่มชื่นรื่นรมย์ ไม่มีมลภาวะ ดิน อากาศ ฟ้า แจ่มใส
15.ทั้งสามฤดูเป็นฤดูสบาย เหมาะแก่การหยุดใจเรียนรู้ประพฤติธรรม

Saturday, March 5, 2011

ผลไม้...ล้างพิษ

               
          
การทานผักผลไม้เป็นประจำจะทำให้ระบบ ขับถ่ายทำงานได้ดี ผิวพรรณผ่องใสสุขภาพดี มาคราวนี้เลยมีความรู้ใหม่มาฝากเกี่ยวกับผลไม้ที่ นอกจากจะช่วยในเรื่องขับถ่ายแล้ว ยังมีสรรพคุณในการช่วยล้างพิษให้กับร่างกายได้อีกด้วย ลองมาดูกันว่าผลไม้ล้างพิษที่ว่านั้นมีอะไรกันบ้าง แอปเปิ้ล  ผลไม้ชนิดนี้เปรียบเสมือนไม้กวาด ที่คอยทำความสะอาดลำไส้ ตับ และระบบบ่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น แถมยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเก่า
องุ่น  เวลาที่ทานองุ่นเข้าไปแล้ว จะเหมือนกับเราเอาอวัยวะเข้าอู่ซ่อมยังไงอย่างงั้น เพราะจะช่วยตั้งแต่ล้าง ซ่อม แถมยังบำรุงอวัยวะภายในอีกต่างหาก ที่สำคัญในองุ่นยังมีสารที่ช่วยฟอกล้าง ผิวหนังให้ใสกระจ่างอีกด้วย
สับปะรด  ผลไม้ร้อยตาที่มีเอนไซม์สูงมาก ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น แบ่งเบาภาระการทำงานของกระเพาะอาหารได้และยังไม่หมดแค่นี้สับปะรดยังช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยขับน้ำมูกได้เป็นอย่างดี
แตงโม  ผลใหญ่ ๆ ที่เนื้อของมันช่วยถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ด้วยการขับออกมาในรูปของปัสสาวะ รวมทั้งยังรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
มะละกอ  มะม่วง  คราวนี้มาแบบกำลัง 2 เพราะมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ที่มีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อย เปปซินในกระเพาะอาหาร จะช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหารได้ดี และข้อดีของมะละกอ อีกอย่างคือช่วยลดอาการซึมเศร้าด้วย
ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต